พีร์ พงศ์พิพัฒนพันธุ์
เป็นที่แน่นอนว่าเหตุการณ์ทางการเมืองที่เกิดขึ้นในเมืองไทยเวลานี้นั้น สองภาคส่วนของอเมริกัน คือ ส่วนของประชาชนคนอเมริกันและส่วนการเมืองของอเมริกันเช่น รัฐบาล คองเกรส ล้วนทราบเรื่องเป็นอย่างดีมิหนำซ้ำทั้งภาคส่วนของอเมริกันทราบเรื่องราวที่เป็นต้นสายปลายเหตุของความขัดแย้งทางการเมืองครั้งสำคัญครั้งนี้เป็นอย่างดีเช่นกัน เพียงแต่จะพูดออกมาดังๆ แบบเป็นทางการหรือไม่เท่านั้น
โดยเฉพาะในส่วนของสภาคองเกรสเอง จนถึงสิ้นปีนี้ แว่วว่ากำลังมีการล็อบบี้จาก สส.อเมริกันบางคนให้สมาชิกคองเกรสทำการประเมินสถานภาพประเทศไทยเชิงความสัมพันธ์กับรัฐอเมริกันอย่างเป็นทางการ หลังการอยู่ยาวของรัฐบาลทหาร
ขณะที่ก่อนหน้านี้ สส. Michael R. Turner หรือสส. “Mike” รีพับลิกัน เขต 10 มลรัฐโอไฮโอ ก็เคยได้ยื่นจดหมายเปิดผนึกถึงประธานาธิบดี บารัก โอบามา เพื่อให้ทบทวนความสัมพันธ์อย่างเป็นทางการกับรัฐบาลทหารที่กรุงเทพ อันเป็นเครื่องพิสูจน์ว่าอเมริกันทั้ง 2 ภาคส่วนคือ ฝ่ายประชาชนกับฝ่ายรัฐบาลอเมริกัน ยังคงจับจ้องมองดูสถานการณ์ทางการเมืองที่กำลังเกิดขึ้นในเมืองไทยอยู่ตลอดเวลาในฐานะประเทศยุทธศาสตร์ประเทศหนึ่งในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก
ทั้งแน่นอนว่าสถานทูตอเมริกันที่กรุงเทพที่นำโดยนาย Glyn Townsend Davies เอกอัคราชทูตฯ ได้ทำหน้าที่อย่างแข็งขันในหลายส่วน เช่น ในเรื่องการปกป้องความปลอดภัยของพลเมืองอเมริกัน การหาข้อมูลและข้อเท็จจริงว่าเกิดอะไรขึ้นในเมืองไทย การกำหนดท่าทีความสัมพันธ์กับรัฐบาลไทย การดูแลปกป้องผลประโยชน์ทางธุรกิจของอเมริกัน ในประเทศไทย ฯลฯ
หากเป็นพลเมืองอเมริกันและอาศัยอยู่ในเมืองไทย สถานทูตอเมริกันประจำกรุงเทพ ย่อมต้องส่งข่าวสารเพื่อแจ้งเตือนให้พลเมืองอเมริกันเลี่ยงผลกระทบจากความขัดแย้งทางการเมืองใน
เหมือนที่หลายฝ่ายวิเคราะห์ว่า การกำหนดท่าทีของรัฐบาลอเมริกัน ขึ้นอยู่กับผลประโยชน์ของคนอเมริกัน เหตุการณ์ในอดีตที่ผ่านมาก็แสดงว่าเป็นเช่นนั้น หากไล่ตั้งแต่เมื่อคราวความสัมพันธ์ระหว่างไทย-อเมริกันที่โดดเด่นมากที่สุดยุคหนึ่ง คือ สมัยรัฐบาลเผด็จการสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ในยุคสงครามเย็น หรือสงครามอุดมการณ์ระหว่างฝ่ายเสรีนิยมกับฝ่ายสังคมนิยม(คอมมิวนิสต์)
อย่างไรก็ตาม หากเปรียบเทียบระหว่างยุคสฤษดิ์กับยุคสมัยปัจจุบันสถานการณ์ต่างกันมาก โลกปัจจุบันเป็นโลกของการสื่อสารและข้อมูลข่าวสาร ซึ่งทำให้มีการเปิดหูเปิดตาประชาชนมากกว่ายุคใดๆ ที่ผ่านมา
ดังนั้น ท่าทีของรัฐบาลอเมริกันจึงไม่เหมือนเดิม ต่างจากบริบทเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์นอกเหนือไปจากเหตุการณ์อื่นๆ เช่น เศรษฐกิจ และความมั่นคงในภูมิภาคที่เปลี่ยนไปด้วยเช่นกัน ยุทธศาสตร์ของอเมริกันในภูมิภาคจึงจำต้องเปลี่ยนไปด้วยเช่นกัน
กล่าวได้ว่าขณะนี้สมาชิกคองเกรสหลายคนให้ความใจสถานการณ์ในไทย กรณีของ สส. Turner มิใช่เป็นกรณีเดียว หากแต่สมาชิกของสภาล่างบางคนอย่างเช่น Dana Tyrone Rohrabacher แห่งรีพับลิกัน จากเขต 48 แคลิฟอร์เนีย ก็เป็นหนึ่งในจำนวนของผู้ที่สนใจนั้นด้วย Rohrabacher เคยเดินทางไปเมืองไทยหลายครั้ง เขาสนใจปัญหา ชนกลุ่มน้อยตามแนวตะเข็บชายแดนไทย-พม่า มากพอๆ กับนโยบายด้านการทหารของสหรัฐฯ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมถึงสนใจปัญหาการละเมิดสิทธิมนุษยชนในหลายประเทศทั่วโลก
นอกจากนี้ ในบรรดาสมาชิกของคณะกรรมาธิการด้านการต่างประเทศของสหรัฐฯ ยังมีการหารือถึงพันธะสัญญาของรัฐบาลอเมริกันในการเผยแพร่ระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตย สมาชิกของทั้งสภาล่าง (Congress) และสภาบน (Senator) เห็นด้วยกับรายงานการวิจัยที่ทำโดยนาย Samuel P. Huntington ซึ่งได้นำเสนอไว้ตั้งแต่ปี 1984 แต่รายงานฉบับเดียวกันยังใช้ได้จวบจนถึงปัจจุบันที่ว่า รัฐบาลอเมริกันและส่วนงานของรัฐที่เกี่ยวข้องจะต้องส่งเสริมระบอบประชาธิปไตยในประเทศต่างๆ ทั่วโลกเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของสหรัฐฯ เอง ส่วนหนึ่งคือการกระทำในนามของการปกป้องสิทธิมนุษยชน
รายงานวิจัยของนาย Huntington ระบุถึงผลดีต่อรัฐบาลและพลเมืองสหรัฐฯ จากการปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตยของประเทศต่างๆ ไว้อย่างน้อย 3 ประการ คือ
ประการแรก สามารถทำให้รัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของอเมริกันสามารถ เข้าไปพัฒนาและส่งเสริมเศรษฐกิจของประเทศนั้นๆ เพื่อพัฒนาศักยภาพการผลิตและเพิ่มรายได้ให้กับ พลเมืองของประเทศนั้นๆ
ประการที่สอง คือ เมื่อมีการพัฒนาทางด้านเศรษฐกิจย่อมทำให้เกิดชนชั้นกลางและประชาชนที่มีการศึกษาจำนวนมากขึ้น ซึ่งกลุ่มชนชั้นดังกล่าวมีส่วนสำคัญในความตั้งมั่นของระบอบประชาธิปไตยในแต่ละประเทศ และ
ประการที่สามคือ ผลจากประการที่หนึ่งและประการที่สอง ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของประเทศ โดยรวมที่สำคัญ ได้แก่ เศรษฐกิจ การศึกษา การทหารและกลุ่มพลังการเมือง ซึ่งจะดีกว่าที่เคยเป็นอยู่เดิม ซึ่งเท่ากับเป็นการยกสถานะ(ระดับ)ของประเทศนั้นๆ ในประชาคมโลกด้วย
รายงานฯ ได้สรุปไว้ว่า ระบอบประชาธิปไตยในประเทศพันธมิตรต่างๆ เอื้อประโยชน์ต่อสหรัฐฯ กติกาประชาธิปไตยสากลที่อาศัยเครื่องมือ คือ การเลือกตั้งเป็นเครื่องมือสำคัญ และการเลือกตั้งถือเป็นสัญลักษณ์ของประชาธิปไตยและสัญลักษณ์ของการอยู่ร่วมกันอย่างสันติมากที่สุด
ในกรณีของประเทศไทยนั้น หากย้อนไปเมื่อปี 2006 เมื่อคณะทหารไทยออกมาทำการรัฐประหารโดยมี พล.อ.สนธิ บุญรัตกลิน เป็นหัวหน้าคณะรัฐประหาร หากเป็นไปตามที่ สื่อจอมแฉ “เคเบิล” WikiLeaksได้เปิดเผยถึงรายละเอียดของการรัฐประหารครั้งนั้น ทางการอเมริกันยอมรับทราบมาตลอดว่า ฝ่ายผู้ทำรัฐประหารของไทย“มีการหารือ”ในเชิงของการบอกกล่าวกับฝ่ายทางการสหรัฐฯให้รับทราบก่อนการรัฐประหารในครั้งนั้น โดยผ่านนาย Eric G. John เอกอัครราชทูตสหรัฐฯประจำประเทศไทยในเวลานั้น
ไทยเป็นประเทศพันธมิตรของสหรัฐฯ มาอย่างยาวนานมากพอที่จะให้รัฐบาลอเมริกันรู้ว่า ไทยเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญที่จะดุลอำนาจกับจีนและเป็นศูนย์กลางการประสานงานติดต่อกับประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อื่นๆ เช่น พม่า กัมพูชาและลาว ซึ่งแน่นอนว่าความเป็นไปใดๆก็ตามของเมืองไทยย่อมต้องอยู่ในสายตาของรัฐบาลอเมริกัน หรือแม้กระทั่งสมาชิกครองเกรสบางคน เหมือนที่เมื่อครั้งหนึ่ง สส.Rohrabacher เคยส่งคนของเขาเข้ามาเก็บข้อมูลและทำงานวิจัยในเมืองไทยในบางเรื่องอย่างเงียบๆ
สำหรับประเด็นปัญหาความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในเมืองไทย ทั้งสื่ออเมริกันและนักการเมืองอเมริกันมีความเข้าใจอย่างยิ่ง ดูจากการศึกษาและดูจากงานวิจัยในมหาวิทยาลัยต่างๆ ในสหรัฐฯ เกี่ยวกับการเมืองไทยและความขัดแย้งที่เกิดขึ้น
พวกเขาไม่ได้มองว่า ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในเมืองไทยครั้งนี้ไม่มีที่มาที่ไปที่ดูเหมือนสื่ออย่าง นิวยอร์คไทมส์ โดยนาย Thomas Fuller จะรายงานออกไปตรงๆก่อนหน้านี้ว่า เกิดอะไรขึ้นในประเทศนี้ หลังจากที่เขาพำนักอยู่เมืองไทยมาหลายปี Fuller ก็เข้าใจความรู้สึก(sense) แบบไทยๆเป็นอย่างดี โดยที่การนำเสนอข่าวและรายงานของ Fuller มีการนำเสนอข้อมูลทั้งเชิงกว้างและเชิงลึก
ในเชิงกว้างนั้น หากเพราะFuller ไม่ได้นำเสนอปัญหาของคนกรุงเทพและปัญหาที่เกิดในกรุงเทพเพียงอย่างเดียว หากแต่นำเสนอปัญหาของคนในภูมิภาคด้วย, ในเชิงลึก หากเพราะเขานำเสนอว่าอะไรคือ เบื้องหลังหรือที่มาของปัญหาความขัดแย้งในเมืองไทยที่แท้จริง
พร้อมๆ กันนั้นเองในเมืองไทยก็มีการรุมประณามผู้สื่อข่าวต่างประเทศที่รายงานข่าวจากเมืองไทยออกไปต่างประเทศเป็นการใหญ่ว่า “ไม่มีความรู้เรื่องเมืองไทยดีเท่าคนไทย” โดยฝ่ายรุมประณามซึ่งเป็นคู่ขัดแย้งทางการเมืองขั้วหนึ่ง มองไปที่ลักษณะของความเป็นต่างด้าวของสื่อฝรั่ง โดยหนึ่งในเหตุผลที่โจมตีสื่อนอกพวกนี้คือ สื่อต่างด้าวไม่รู้ภาษาไทยดีเท่าคนไทย
เพื่อนที่ทำงานการเมืองที่แคปปิตัลฮิลล์ ดี.ซี. วิเคราะห์ให้ฟังว่า แม้รัฐบาลอเมริกันจะยังคงต้องการรักษาผลประโยชน์ของพลเมืองอเมริกันที่เกี่ยวพันกับประเทศไทย แต่ในเรื่องทางด้านเศรษฐกิจซึ่งขึ้นกับผลการประกอบการ(กำไร/ขาดทุน) ไม่สามารถรอได้ ในช่วงที่เกิดความรุนแรงจากความขัดแย้งทางการเมืองธุรกิจอเมริกันจำนวนหนึ่ง โดยเฉพาะธุรกิจที่มีการลงทุนในตลาดเงินและตลาดทุนหรือตลาดรอง ได้ถอนการลงทุนออกไปจากเมืองไทยบ้างแล้ว เงินลงทุนดังกล่าวรวมอยู่ในเม็ดเงินที่ถอนออกจากเมืองไทยที่เป็นเงินลงทุนจากทั่วโลกจำนวนกว่า 4 พันล้านดอลลาร์
ธุรกิจอเมริกันอื่นๆ ที่ลงทุนภาคการลงทุนจริง (real sector) โดยใช้เมืองไทยเป็นฐานการผลิตสินค้าก็กำลังอยู่ระหว่างการพิจารณาว่าจะเอาย้ายฐานการลงทุนหรือไม่ ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับท่าทีของรัฐบาลและคองเกรสอเมริกันดังกล่าว
สมาชิกคองเกรสอเมริกันบางคนจึงออกมากระชุ่นให้รัฐบาลโอบามาแสดงจุดยืนเพื่อปกป้องระบอบประชาธิปไตยในไทย ซึ่งก็หมายถึงผลประโยชน์ของอเมริกันในเมืองไทยรวมอยู่ในนั้น ซึ่งคาดกันว่าในสิ้นปีนี้หรือช่วงก่อนเลือกตั้งประธานาธิบดีคงมีท่าทีที่ชัดเจนจากคองเกรส โดยเฉพาะจากฝั่งรีพับลิกันมากขึ้น