พีร์ พงศ์พิพัฒนพันธุ์

ถามกันมากว่า ต่อแต่นี้รัฐบาลทรัมป์จะมีนโยบายด้านเศรษฐกิจหรือกระทั่งนโยบายวามมั่นคงอย่างไรต่อประเทศในภูมิภาคเอเซียแปซิฟิก โดยเฉพาะความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐอเมริกากับไทยและเหล่าประเทศอาเซียนทั้งหลาย

เพราะเป็นที่รู้กันว่าความสัมพันธ์ระหว่างอเมริกากับจีนในยุคทรัมป์ เท่าที่ปรากฏในสื่อต่างๆ ไม่ค่อยสดชื่นมากนัก จากปฏิกิริยาการแสดงออกของนายทรัมป์เองที่แสดงความเห็นผ่านสื่อโซเชียลมีเดีย (ทวิตเตอร์) ส่วนตัวของเขา

ทรัมป์แสดงความเห็นเรื่องจีนทีไรก็กลายเป็นเรื่องอื้อฉาวในสื่อทุกที ทำนองว่าต่อแต่นี้ความสัมพันธ์ระหว่างอเมริกากับจีนในหลายๆ ด้านคงแย่ลงแน่นอน สื่อไทยบางสำนักทั้งที่เมืองไทยและในอเมริกาถึงขนาดนำทรัมป์ไปค่อนแคะว่า  ทรัมป์เป็นผู้นำอเมริกาที่โง่เง่า หยาบคาย ก้าวร้าว ซื่อบื้อ มากที่สุดในประวัติศาสตร์ พูดง่ายๆ ก็คือ มองว่าทรัมป์แทบไม่มีอะไรดีอยู่ในตัว อเมริกาในยุคผู้นำคนนี้จึงน่าจะอยู่ในอาการ “หมดสภาพ”

ยิ่งท่าทีของทรัมป์ที่ไม่สนใจเข้าร่วมงานขอบคุณสื่อ(มวลชน)อเมริกันตามประเพณี หลังเลือกตั้งแล้ว โอ๊ย !!! ประธานาธิบดีจากพรรครีพับลิกันคนนี้ จะไปรอดเร้อ?  อเมริกาจบเห่แน่ คราวนี้

รับกับสัญญาณของกลุ่มที่ไม่เห็นด้วยกับนโยบายส่งเสริมชาวต่างด้าวในอเมริกาของรัฐบาลอเมริกันมาหลายสมัยที่มักมีคำพูดเสียดแทงต่อคนเชื้อสายต่างด้าวที่อยู่ที่นี่ว่า “ไม่ชอบอเมริกาก็กลับบ้านของคุณไปซะ”

และเพราะนโยบายโปรโมทต่างด้าวนั่นเองที่ว่ากันว่า เป็นสาเหตุหนึ่งที่นำความล้มละลายทางเศรษฐกิจมาสู่แคลิฟอร์เนีย รัฐที่มีคนเชื้อสายไทยและเชื้อสายเอเชีย (เอเซียน) อาศัยอยู่หนาแน่นมากที่สุด รวมถึงเป็นฐานการเมืองที่ใหญ่ที่สุดของคนแทบทุกเชื้อสายทั่วโลก

นโยบายรัฐสวัสดิการของแคลิฟอร์เนีย โดยเฉพาะในสองด้าน คือ ด้านการศึกษากับด้านสาธารณสุข แม้จะเป็นตัวอย่างที่ดีในแง่ของสิทธิมนุษยชน แต่ก็มักถูกยกเป็นตัวอย่างให้เห็นถึงภาพของความล้มเหลวของนโยบายโปรโมทชาวต่างด้าวในอเมริกา ในยามที่สวัสดิการดังกล่าวถูกแจกจ่ายไปให้ต่างด้าวจำนวนมากโดยมีผลตอบแทน เช่น ผ่านทางระบบภาษี กลับมาน้อยมาก มิหนำซ้ำ กลุ่มคนเชื้อสายต่างด้าวเหล่านี้ อาศัยความเป็นผู้ขอ นั่งรอกินเงินสวัสดิการโดยมิพักต้องทำงานเป็นเวลาหลายปี ซึ่งลักษณะที่ว่านี้เมื่อหลายปีก่อนพบมากแถวๆ เฟรสโนและอีกหลายเมืองในแคลิฟอร์เนีย มันทำให้เมือง (cities) เหล่านี้ เฉียดใกล้ภาวะล้มละลายหรือไม่ก็พากันล้มละลายกันถ้วนหน้า

และลักษณะแบบเดียวกันนี้ ที่ไหนๆ ในโลกก็เรียกว่า “คนขี้เกี้ยจ”ในอเมริกาก็เช่นเดียวกัน ทรัมป์และคนอเมริกันจำนวนไม่น้อยที่เห็นตรงกันว่า ปัญหาต่างด้าวขี้เกียจทำงานเป็นปัญหาคุกคามเอาเปรียบสุจริตชนอเมริกันผู้มีความเพียรประการหนึ่ง คนพวกนี้เป็นพวกถ่วงการพัฒนาประเทศ

นั่นหลังจากที่ทรัมป์ได้รับเลือกตั้งให้เป็นประธานาธิบดี โดยคนอเมริกันส่วนใหญ่เป็นผู้ลงมติเลือกเขา ซึ่งก็ชี้ให้เห็นว่า อเมริกันชนจำนวนมากเพียงใดที่คล้อยตามความเห็นของทรัมป์ในเรื่องต่างด้าว มองต่างด้าวทั่วไปแบบติดลบ

กลับมาที่เรื่องความสัมพันธ์กับประเทศในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกที่รัฐบาลทรัมป์ได้ทำแผนที่หรือวางเอาไว้ ตามที่สงสัยกันว่า อเมริกายุคทรัมป์มีประเทศไทยอยู่ในแผนที่เศรษฐกิจและความมั่นคงของอเมริกันในยุคนี้ด้วยหรือไม่

ย่อมแน่นอนว่า ในสายตาของสื่อมวลชนอเมริกันและสื่อทั่วโลกส่วนใหญ่ ย่อมจับไปที่ความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯกับจีนมากกว่าประเทศอื่น ในฐานะที่จีนเป็นทั้งคู่ค้าและคู่แข่งที่สำคัญของอเมริกา พร้อมกันนี้สื่อเหล่านี้ส่วนใหญ่ก็วิเคราะห์อย่างสอดคล้องต้องกันว่าอย่างไรเสีย ทั้งสองประเทศก็ขาดซึ่งกันและกันไม่ได้ ต้องพึ่งพาอาศัยกันทางด้านเศรษฐกิจต่อไป ไม่มีปัจจัยใดที่ทำให้ความสัมพันธ์ของทั้งสองประเทศมหาอำนาจนี้หักเหออกจากกัน

การปรากฏกายของชายร่างเล็ก หัวโต “แจ๊ค หม่า” ประธาน “อาลีบาบา” คู่กับทรัมป์หลังจากที่เขาชนะเลือกตั้งไม่นาน เป็นสัญญาณว่า การค้าระหว่างจีนกับอเมริกาจะเดินหน้าต่อ แถมจะมากกว่าเดิมอีกด้วย แม้ทรัมป์จะวิจารณ์จีนผ่านทวิตเตอร์ส่วนตัวของเขามากเพียงใดก็ตาม หากเขาซ่อนเจตนาแฝงอื่นไว้เบื้องหลังการวิจารณ์ดังกล่าว

ขณะที่กูรูด้านอเมริกาและต่างประเทศของไทยต่างไม่กล้าฟันธงว่าทรัมป์จะเอายังไงกันแน่ในแง่ความสัมพันธ์กับชาติอาเซียน ที่มีประเทศเผด็จการอย่างไทยเป็นหนึ่งอยู่ในกลุ่มนี้

ข้อเท็จจริงในแง่ยุทธศาสตร์หรือความมั่นคงก็คือ อเมริกายุคทรัมป์ได้ผนวกไทยและชาติเพื่อนบ้านอาเซียนอยู่ในกลุ่มประเทศที่ต้องคงหรือต้องสานความสัมพันธ์อย่างต่อเนื่องเหมือนเช่นที่ผ่านๆ มา ไม่ต่างจากยุคโอบามา เนื่องจากมีคู่แข่งอย่างจีนยืนค้ำหัวอยู่ ทั้งในแง่ภูมิศาสตร์ จีนเป็นประเทศที่มีพรมแดนอยู่ชิดติดกับประเทศอาเซียนทั้งทางบกและทางทะเล

เพียงแต่ว่า ในแง่ของความเป็นจริงทางการเมืองของอเมริกันนั้น ทรัมป์ต้องการให้นโยบายความสัมพันธ์ระหว่างประเทศของอเมริกาต่อจีน ต่ออาเซียน ตอบสนองต่อจุดยืนบนเวทีหาเสียงครั้งที่ผ่านมาของเขาไปในตัวด้วย

นโยบายความสัมพันธ์กับจีน หรือกับบรรดาชาติอาเซียน ทั้งในด้านความมั่นคงและด้านเศรษฐกิจจึงถูกนำไปบูรณาการร่วมกับนโยบายชุดใหญ่ของทรัมป์เมื่อตอนที่เขาหาเสียง ซึ่งจะเป็นการได้ชื่อว่า สนองตอบต่อปฎิญญาหรือคำมั่นสัญญาที่เขาให้ไว้กับประชาชนอเมริกันที่เลือกเขาเข้ามาในการเลือกตั้งปลายปีที่แล้ว

แคบลงมา ในส่วนของยุทธศาสตร์ความสัมพันธ์กับประเทศไทย ในแง่ของความมั่นคง การฝึกร่วมค้อบบร้าโกลด์ระหว่างกองกำลังอเมริกันกับกองกำลังของไทยเมื่อไม่นานมานี้ เป็นคำตอบประการหนึ่งว่า ไทยจะยังคงเป็นพาร์ทเนอร์ชิพของอเมริกันในแง่ของความมั่นคงในภูมิภาค โดยมีปากที่อยู่ไม่สุขของประธานาธิบดีดูเตอเต้แห่งฟิลิปปินส์เป็นแรงบีบอีกประการให้รัฐบาลอเมริกันต้องวางลำดับความสัมพันธ์ด้านความมั่นคงกับไทยไว้เหมือนเดิม

ยังเหลือแต่ความสัมพันธ์ด้านเศรษฐกิจ ซึ่งเจ้าหน้าที่อเมริกันและบุคคลที่เกี่ยวข้องกำลังวางความสัมพันธ์เพื่อบูรณาการให้เข้ากับนโยบายหรือ “ยุทธศาสตร์เฉพาะของทรัมป์” โดยไม่สนใจว่านาย สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรีทางด้านเศรษฐกิจของไทยจะคิดเช่นไร กล่าวคือ อเมริกันไม่สนใจว่าจะต้องทำนโยบายให้เข้ากับไทยแลนด์ 4.0 หรือไม่?

ขณะที่ผลของความสัมพันธ์ทางด้านการค้าหรือด้านเศรษฐกิจที่เห็นได้ชัดในช่วงที่ผ่านมา ก็คือ ไทยเป็นฝ่ายได้ดุลการค้าต่ออเมริกันมาตลอด ฝ่ายอเมริกันเสียดุลการค้าให้แก่ไทย ฉะนั้น นโยบายอะไรก็ตามที่สามารถลดการขาดดุลต่อไทยได้ฝ่ายอเมริกันก็จำเป็นต้องทำ (เพื่อบูรณาการกับนโยบายทรัมป์ตอนหาเสียง) จึงน่าเชื่อว่า สินค้าจากไทยอีกหลายรายการจะโดนบล็อกด้วยวิธีการต่างๆ จากรัฐบาลอเมริกันนับต่อแต่นี้

ส่วนยุทธศาสตร์การลงทุนและการมีหุ้นส่วนร่วมของนักลงทุนอเมริกันในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) นั้น เป็นที่น่าเสียดายว่า ไม่มีชื่อประเทศไทยในรายงานของกรรมาธิการต่างประเทศสหรัฐฯที่เสนอต่อทำเนียบขาวเมื่อเร็วๆนี้ หากปรากฏ ชื่อ“เวียดนาม” แทน ผู้นำเสนอคือ สส.Dana Rohrabacher กรรมาธิการต่างประเทศ พรรครีพับลิกัน

วิเคราะห์เอาจากปูมหลังของสส.อเมริกันเขตออเร้นจ์ เค้าน์ตี้ คนเดียวกันนี้ อาจเนื่องจาก Rohrabacher มีความรู้เชิงลึกที่หลากหลายเกี่ยวกับไทยและอาเซียนอีกหลายชาติ นอกเหนือไปจากความสัมพันธ์ที่แนบแน่นเป็นพิเศษกับนักธุรกิจอเมริกันเชื้อสายเวียดนามในอเมริกาในเขตเลือกตั้ง “ออเร้นจ์เค้าน์ตี้”ของเขา.

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *