พีร์ พงศ์พิพัฒนพันธุ์
ดูข่าวในเมืองไทยว่าด้วยปัญหาการเมืองกับศาสนาในช่วงนี้แล้วทำให้เห็นว่า ศาสนากับการเมืองในเมืองไทยนั้นแยกกันไม่ออก ต่างสัมพันธ์เชิงเอื้อผลประโยชน์ซึ่งกันและกัน
ในแง่ความเป็นอยู่ของพระสงฆ์ซึ่งเป็นบุคคลสัญลักษณ์เชิงพุทธเอง พระสงฆ์ต้องอยู่ภายใต้กติกาถึง 3 ชั้นด้วยกัน
ชั้นแรก คือ พระสงฆ์ต้องอยู่ภายใต้พระวินัยในพุทธศาสนา
ชั้นที่สอง คือ พระสงฆ์ต้องอยู่ภายใต้ พ.ร.บ.สงฆ์ฉบับ พ.ศ. 2505 แก้ไข พ.ศ. 2535
ชั้นที่สาม พระสงฆ์ต้องอยู่ภายใต้กฎหมายบ้านเมืองเหมือนพลเมืองไทยโดยทั่วไป
สิ่งที่แสดงให้เห็นว่าพระสงฆ์ซึ่งเป็นบุคคลสัญลักษณ์ทางพระพุทธศาสนาเกี่ยว ข้องกับการเมืองอย่างชัดเจนคือ กระบวนการในชั้นที่สอง พระสงฆ์ไทยต้องอยู่ภายใต้กฎหมายสงฆ์ที่แสดงให้เห็นบทบาทของรัฐที่เข้ามา กำกับดูแลกิจการพระพุทธศาสนาในประเทศไทย โดยมีองค์กรศูนย์กลางของศาสนาพุทธแบบทางการคือ มหาเถรสมาคม (มส.) และหน่วยงานของรัฐที่เพิ่งจัดตั้งมาได้ไม่กี่ปี คือ สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) อีกหน่วยงานหนึ่ง
ทั้งหมดนี้แสดงให้เห็นว่าศาสนาพุทธในเมืองไทยแยกไม่ออกจากการเมือง ด้วยเหตุที่มีอำนาจรัฐเข้ามาเกี่ยวข้อง ซึ่งมองอีกทีการเข้ามาเกี่ยวข้องของอำนาจรัฐดังกล่าว เป็นผลดีกับพุทธศาสนาทั้งในแง่บุคคลและการเผยแผ่หลักธรรมคำสอนแต่ในขณะเดียว กันอีกด้านหนึ่งจารีตความสัมพันธ์ระหว่างศาสนากับการเมืองตามแบบฉบับของไทย ดังกล่าวก่อให้เกิดความสุ่มเสี่ยงในเชิงความขัดแย้งด้านความเชื่อทางศาสนาแม้แต่คนในศาสนาพุทธเดียวกันนั่นแหละ
โดยเฉพาะในกลุ่มที่คิดว่าศาสนาพุทธแบบทางการคืออำนาจ และมีอำนาจที่จะกำหนดความเชื่อความศรัทธาของศาสนิกทั้งประเทศซึ่งก็คือชาวพุทธคนไทยได้ ทั้งที่แนวความคิดดังกล่าวเป็นแนวความคิดที่ค่อนข้างล้าสมัยเต็มทีในยุคโลกาภิวัตน์ที่การนับถือศาสนาของผู้คนมีลักษณะของความเป็นปัจเจกมากยิ่งขึ้นทุกที คือ ต่างคนต่างนับถือศาสนาตามเหตุผลและความเชื่อของแต่ละคน มากกว่าการชี้นำโดยรัฐหรืออำนาจรัฐ หรืออำนาจทางการเมืองแบบศูนย์กลางอย่างที่เคยเป็นมา
นัยยะดังกล่าวแสดงให้เห็นลักษณะของความเป็นไปของศาสนาและศาสนิกที่กำลังเป็น ไปในโลก 2 ประการ
ประการแรก คือ ความมีอิสระที่จะเชื่อหรือนับถือในศาสนาที่ตนศรัทธา
ประการที่สอง คือ การปรับตัวของระบบความเป็นอยู่ของศาสนาและศาสนิกเป็นไปในทิศทางที่สอดคล้องกับระบอบประชาธิปไตยที่เป็นกระแสโลก คือ ผู้คนเลือกเชื่อ นับถือในสิ่งที่ตนเห็นอยากเชื่อหรืออยากนับถือโดยไม่ก่อความเดือดร้อนให้กับ คนอื่น รวมถึงการที่ไม่นับถือศาสนาอะไรเลยก็เป็นทางเลือกของคนจำนวนมากภายใต้กระบวนทัศน์ประชาธิปไตยที่เป็นกระบวนทัศน์หลังนวยุค (post modern) อย่างในปัจจุบัน
ความเป็นไปของการนับถือศาสนาทั้ง 2 ประการ กำลังบอกว่า อำนาจรัฐที่จะเข้าไปควบคุมดูแลกิจการศาสนา (ที่แสดงถึงความสัมพันธ์ระหว่างรัฐกับการเมืองกับศาสนาในเมืองไทย) มีกำลังน้อยลง หน่วยงานทางการที่ถือเป็นสัญลักษณ์ของพุทธศาสนามีกิจการศาสนาที่ต้องดูแลใน มือน้อยลงเรื่อยๆ ขณะที่ความหลากหลายของศรัทธาต่อศาสนาในรูปแบบทั้งเก่าและใหม่ของศาสนิกกลับเพิ่มมากขึ้น ดังกรณีของสันติอโศกที่แม้ออกไปจากพุทธศาสนาแบบทางการแล้วหากยังรักษาฐานของศาสนิกชนผู้ศรัทธาเอาไว้ได้อย่างแน่นแฟ้น แถมศาสนิกอาจยังกลับเพิ่มพูนมากขึ้นเสียด้วยซ้ำ
มองในแง่นี้เท่ากับศาสนาพุทธแบบทางการ (รัฐไทย) ที่เห็นเด่นชัดมากที่สุด (เนื่องจากความเป็นทางการนั่นเอง) ถูกจำกัดอยู่แค่นิยาม “พุทธรัฐ” เท่านั้น รวมถึงการตีความพระไตรปิฎกบนความเป็นทางการ ในขณะที่ยังมีกลุ่มพุทธศาสนิกอื่นอาจตีความคำสอนทางพุทธศาสนาออกไปอีกหลากหลาย ดังการตีความเพื่อหาเหตุผลของความจำเป็นที่ภิกษุณีต้องเป็นบุคคลทางศาสนาแบบ เดียวกับภิกษุ ซึ่งเหตุผลดังกล่าวไม่ได้รับการยอมรับจากฝ่ายพุทธแบบทางการในเมืองไทย หากในที่สุดแล้วผู้นำภิกษุณีบางกลุ่ม เช่น กลุ่มของภิกษุณีธัมมนันทาหรือกลุ่มอื่นๆ ก็ยังคงดำรงสภาพความเป็นนักบวชหญิงในพุทธศาสนาอยู่ได้อย่างที่เป็น ยกเว้นแต่ความสัมพันธ์ระหว่างสถานภาพภิกษุณีกับกฎหมายรัฐ
ถึงแม้ข้อเรียกร้องของภิกษุณีและผู้ที่เห็นด้วยในแนวทางเดียวกันนี้จะไม่ ประสบความสำเร็จก็ตาม แต่ในการลงหลักปักฐานของบรรพชิตชาวพุทธเพศหญิงในเมืองไทยนั้นต้องนับว่า ประสบผลสำเร็จเป็นอย่างดี
เรื่องนี้ทำให้ต้องแปลกใจในความโอละพ่อของปัญญาชนผู้เรียกร้องกรณีการมีภิกษุณีในประเทศไทยบางคน รวมถึงนักสตรีนิยมที่มิใช่ภิกษุณี ที่พยายามเรียกร้องให้สถานภาพของภิกษุณีกลับไปผูกแขวนอยู่กับ (อำนาจ) รัฐ ด้วยเหตุผลเพื่อสิทธิประโยชน์ความเท่าเทียมกับภิกษุในแง่กฎหมาย (ซึ่งตอนนี้แทบไม่เหลืออะไรมากไปกว่าการนั่งรถเมล์หรือรถโดยสารสาธารณะบางจำพวก ฟรี) ทั้งๆ ที่ผู้เรียกร้องเหล่านี้ต่างก็อ้างตนว่าเป็นเสรีชนและต้องการให้ศาสนาแยกออกจากรัฐ (secular state)
ซึ่งหากมองจากความจริงเชิงพัฒนาการของพุทธศาสนาของโลกตะวันตกทั้งยุโรปและ อเมริกาก็จะเห็นได้ว่า รัฐประชาธิปไตยตะวันตกไม่ได้ค้ำจุนศาสนา มีการแยกความเชื่อ และกิจการศาสนาออกจากรัฐ (การเมือง) ปล่อยให้ศาสนาเป็นไปตามเชื่อความศรัทธาของศาสนิกของศาสนานั้นๆ
รัฐประชาธิปไตยในโลกตะวันตกถือว่าการเมืองกับศาสนาเป็นคนละเรื่องเดียวกัน ดังนั้นการที่ศาสนาจะอยู่ ในโลกตะวันตกได้ ก็เพราะความศรัทธาหรือพลังของ ศาสนิกของศาสนานั้นๆ จริงๆ มิใช่การค้ำจุนโดยรัฐ
ในส่วนของเมืองไทยนั้น ความกังวล (ซึ่งที่จริงแล้วผู้ที่ขี้กังวลส่วนใหญ่ก็คือฝ่ายพุทธศาสนาแบบทางการ/พุทธรัฐ) โดยส่วนหนึ่งของชาวพุทธเหล่านี้พุ่งเป้าไปการตีความพระธรรมคำสอนของพระพุทธองค์ว่า อาจคลาดเคลื่อน ไม่ตรงตามพุทธประสงค์
ขณะที่หากกลับไปศึกษาดูถึงพัฒนาการของพุทธศาสนาก็จะเห็นว่าระยะเวลาผ่านมา 2500 กว่าปีนั้นคำสอนของพุทธศาสนาถูกตีความมาตลอดจากรุ่นสู่รุ่น แตกแขนงออกเป็นนิกายต่างๆ มากมาย อย่างน้อยที่เห็นอย่างชัดเจน คือ นิกายเถรวาทกับนิกายมหายานซึ่งมีการตีความคำสอนแตกต่างกัน แม้ทั้ง 2 นิกายจะมีเป้าหมายเดียวกัน แต่ในเชิงอุดมการณ์การใช้ชีวิตกลับแตกต่างกัน พุทธเถรวาทนั้นให้ภาพเป้าหมายเชิงปัจเจก ขณะที่พุทธมหายานให้ภาพเป้าหมายเชิงส่วนรวม (ตามอุดมการณ์โพธิสัตว์)
การปรับเปลี่ยนความคิดต่อการแก้ไขปัญหาความสัมพันธ์ระหว่างรัฐกับศาสนาจึง เป็นหลักใหญ่ใจความสำคัญเพื่อพลิกพุทธศาสนาให้กลับมาเป็นที่พึ่งของตนเอง จริงๆ ซึ่งหากเป็นไปตามเงื่อนไขทางด้านกฎหมายของไทยในปัจจุบันก็จะเห็นว่า รัฐศาสนาหรือพุทธแบบทางการนั้นมีแนวโน้มจะคลายความสำคัญลง เนื่องจากความหลากหลายของศรัทธาในบรรดาชาวพุทธด้วยกัน โดยเฉพาะหากรัฐไทยโน้มไปแนวทางประชาธิปไตยกระแสความเป็นไปดังกล่าวก็จะ ชัดเจนมากขึ้น
แม้เป็นรัฐที่ปกครองแบบตรงกันข้ามก็ใช่ว่าจะสามารถยับยั้งกระแสนี้ได้ เพราะการใช้อำนาจรัฐผ่านการเป็น “รัฐศีลธรรม” (เช่น การกำหนดจริยธรรมสำหรับพลเมืองหรือนักการเมือง) เป็นตัวควบคุมพลเมืองหรือนักกาเมืองยิ่งทำให้ศรัทธาของพลเมืองต่อศีลธรรม(ทางศาสนา) แบบทางการลดน้อยลงไป หรืออาจถึงกับก่อให้เกิดการขัดขืน ซึ่งวิธีการดังกล่าวเท่ากับทำให้รัฐไทยกลายเป็นรัฐศาสนาแบบเต็มตัวมากขึ้น ทั้งในความเป็นจริงแล้วการสถาปนารัฐศีลธรรมหรือรัฐศาสนาก่อให้เกิดผลกระทบ เชิงความขัดแย้งมากมายดังที่เคยเกิดเหตุการณ์สำคัญทางศาสนาในยุโรปยุคกลาง เพราะระบบศีลธรรมของศาสนาจะอยู่ได้หรือคนจะปฏิบัติตามระบบศีลธรรมนั้นส่วนใหญ่แล้วมักขึ้นกับแรงศรัทธาของชาวบ้านเองมากกว่าการปฏิบัติตามกฎหมายล้อจริยธรรมทางศาสนา
ด้วยเหตุดังกล่าวทำให้รัฐกลายเป็นรัฐล้มเหลวทั้งในแง่ประชาธิปไตยและศีลธรรมมากยิ่งขึ้น
ไม่รวมถึงผลกระทบของการเป็นรัฐศีลธรรมแบบทางการ (รัฐศาสนา) ที่มีการใช้แนวทางของศีลธรรมแบบทางการเพียงอย่างเดียว ซึ่งจะเป็นสาเหตุส่วนหนึ่งที่ทำให้ภาพการเคลื่อนย้ายพุทธศาสนาไปยังประเทศที่มี สภาพเหมาะกับการเติบโตของพุทธศาสนาอย่างชัดเจนมากขึ้น ดังสภาพการเติบโตของพุทธศาสนาและพุทธศาสนิกในโลกตะวันตก โดยเฉพาะในอเมริกาท่ามกลางบรรยากาศและกระแสประชาธิปไตย ที่จนถึงทุกวันนี้ ในอเมริกาถึงกับมีมหาวิทยาลัยและสถาบันการศึกษาพุทธศาสนาเกิดขึ้นในประเทศนี้จำนวนมาก
สภาพการนับถือพุทธศาสนาในสมัยกษัตริย์อโศกอันเป็นต้นตำรับของ “พุทธรัฐ”กับการนับถือพุทธศาสนาในสมัยปัจจุบันและในอนาคตย่อมต่างกัน หากการดำรงอยู่ของพุทธศาสนาจนถึงปัจจุบันและในอนาคต เนื่องจากการตีความคำสอนและการปรับตัวให้เข้ากับกระแสสังคมและสิ่งแวดล้อมต่างหาก ไม่ว่าศาสนาพุทธจะถูกกำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญหรือไม่ก็ตาม.