พีร์ พงศ์พิพัฒนพันธุ์

กรณีธรรมกายที่เกิดขึ้นในเมืองไทย และกรณีประเด็นศาสนาในบางประเทศ อย่างเช่น ประเทศพม่า (กรณีพระวีราธุที่เป็นแกนนำในการนำชาวพุทธต่อต้านชาวมุสลิมแบบตาต่อตาฟันต่อฟัน) เกิดกระแสวิจารณ์ทั้งในส่วนของพระสงฆ์ในศาสนาพุทธ รวมถึงรัฐบาล เกี่ยวกับกระบวนการบริหารจัดการด้านศาสนาอย่างกันอย่างขนานใหญ่เวลานี้

เพราะเรื่องศาสนาเกี่ยวข้องกับเรื่องของความเชื่อความศรัทธาโดยตรง  หากธรรมนูญแห่งรัฐหรือหลักการบริหารจัดการของรัฐไม่ดี ไม่มีประสิทธิภาพ ก็อาจก่อให้เกิดปัญหาเกิดขึ้นตามมาได้ ซึ่งจะส่งผลกระทบอย่างน้อย 2 ประการ  คือ

หนึ่ง เกิดความขัดแย้งระหว่างศาสนิกของแต่ละศาสนากับ สอง ส่งผลต่อจริยธรรมและวัฒนธรรมของศาสนิกในแต่ละศาสนา ซึ่งต้องไม่ลืมว่าจริยธรรมและวัฒนธรรมเป็นเบ้าหลอมให้เกิดรูปร่างและการคงอยู่ของสังคม เพื่อให้สังคมนั้นๆ อยู่ร่วมกันอย่างสันติ  ดังนั้น ความเชื่อทางด้านศาสนาหรือลัทธิใดก็ตาม ที่ไม่สร้างความเดือดร้อนให้คนในสังคมตนและสังคมคนอื่นๆ ก็น่าจะเป็นอันใช้ได้

การคำนึงผลกระทบด้านจริยธรรมและวัฒนธรรมของสังคมส่วนหนึ่ง เป็นที่มาของความพยายามอนุรักษ์หรือปกป้องลัทธิศาสนา หรือความเชื่อของคนสังคม  ซึ่งหากในสังคมใดมีความเชื่อ ความนับถือในศาสนาที่หลากหลายหรือแตกต่างกัน ก็อาจเกิดเป็นปัญหาความขัดแย้ง ในหลายแง่มุม อย่างน้อยในแง่ “ความยุติธรรม” หรือความเสมอภาคที่คนในสังคมได้รับ ก็เป็นประเด็นหนึ่งของปัญหาที่เกิดขึ้นจากการปฏิบัติต่อคน(ประชาชน)ในประเด็นความเชื่อที่แตกต่าง

การบริหารสังคมหรือบริหารรัฐ เพื่อไม่ก่อให้เกิดความขัดแย้งจึงเป็นเรื่องสำคัญ ขณะเดียวกันลักษณะของการบริหารจัดการ เพื่อคงอัตลักษณ์ทางด้านวัฒนธรรมและความเชื่อ ความศรัทธาของประชาชน เพื่อจริยธรรม(ความสงบสุข) ในการอยู่ร่วมกันก็จำเป็นเช่นกัน โดยทั้งหมดนี้ต้องเป็นไปอย่างสมดุล

สังคมอเมริกันได้บทเรียน เกี่ยวกับเรื่องความขัดแย้งศาสนาหรือความเชื่อนี้มาจากหลายเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์ หนึ่งในนั้นคือ สงครามครูเสด ซึ่งเกิดขึ้นอย่างยาวนานในยุโรป เป็นช่วงๆ ราวสองศตวรรษ  นอกเหนือไปจากเหตุการณ์ความขัดแย้งระหว่างศาสนิกในศาสนาเดียวกันหลายกรณี โดยเฉพาะความขัดแย้งในบรรดาคริสตศาสนิกด้วยกันในยุโรป ระหว่างนิกายใหม่โปรแตสแต้นท์ กับนิกายโรมันแคททอลิก ที่ต้นเหตุความขัดแย้งเริ่มจากฝรั่งเศส (French Wars of Religion) เป็นต้น

สำหรับอเมริกัน การตระหนักถึงความขัดแย้งดังกล่าว นำไปสู่การบัญญัติหรือกำหนดรัฐธรรมนูญข้อแรก (First amendment) ไม่ให้มีการบัญญัติกฎหมายเกี่ยวข้องกับศาสนา  (Congress shall make no law respecting an establishment of religion)  และยังมีบางมาตราที่กำหนดให้การสอบเพื่อทำงาน มีข้อห้ามเรื่องการตั้งคำถามเกี่ยวกับศาสนาในการรับคนเข้าทำงาน  เช่น ถามว่า นับถือศาสนาอะไร เป็นต้น สิ่งเหล่านี้ยังแสดงให้เห็นถึงหลักการ(ปรัชญา) การบริหารจัดการของรัฐที่มีต่อศาสนา ตามคำกล่าวที่ว่า “เสรีภาพทางศาสนาเพื่อทุกคน (Religious Liberty for All)”

สหรัฐอเมริกา จึงเป็นตัวอย่างของรัฐที่แยกกิจการของรัฐออกจากศาสนา (Secular State) เหมือนกับแคนาดา เม็กซิโก และอีกหลายประเทศในยุโรป ซึ่งการแยกดังกล่าว ไม่ได้หมายความว่าคนอเมริกันไม่มีศาสนา หรือจะทำอะไรที่เกี่ยวข้องกับความเชื่อหรือศาสนาก็ได้ แต่ภายใต้เงื่อนไขของกฎหมายรัฐธรรมนูญ คนอเมริกันมีหน้าที่รับผิดชอบต่อการนับถือศาสนาด้วย แต่เป็นความรับผิดชอบอย่างยุติธรรมและเสมอภาค เหตุดังกล่าว ทำให้หลายศาสนา  รวมถึงพุทธศาสนามาเบ่งบานอยู่ในดินแดนตะวันตกแห่งนี้  ซึ่งจะเปรียบเทียบกับพุทธศาสนาตามรูปแบบของรัฐไทยคงไม่ได้ เพราะสำหรับรัฐไทยแล้ว รัฐ เป็นฝ่ายออกแบบลักษณะวิธีการศาสนาเอง ผ่านระบบกฎหมายพุทธศาสนา หรือ พระราชบัญญัติคณะสงฆ์(พ.ร.บ. สงฆ์) พ.ศ.2505 แก้ไข พ.ศ. 2535 ที่ออกโดยรัฐ

การออกกฎหมายดังกล่าว เท่ากับรัฐไทยได้ถูกทำให้เป็นรัฐศาสนา(State Religion) โดยปริยาย ศาสนาถูกทำให้กลายเป็นสถาบันๆ หนึ่ง ซึ่งผลของการทำให้เป็นสถาบันนี้ มีทั้งดีและเสีย

ผลดีเห็นจะได้แก่ การสร้างอุดมการณ์/คุณค่าของรัฐ ในเรื่องของศีลธรรม และจริยธรรม  รวมถึงการปกป้องศาสนาในขอบวงของอุดมการณ์/คุณค่าของรัฐ  ส่วน ผลเสีย ได้แก่ การที่(พุทธ)ศาสนา ถูกจำกัดอาณาบริเวณ(นิยาม/ตีความ) โดยรัฐ โดยที่การนิยาม/การตีความ ดังกล่าว ก่อให้เกิดการผูกขาดแบบแช่แข็ง(พุทธ)ศาสนาขึ้นในประเทศไทย ขณะที่การให้คุณค่าของการดำเนินชีวิตของคนในโลกปัจจุบันและทุกยุคทุกสมัยเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอด และในอนาคตการให้คุณค่านี้ก็จะยังคงเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ

นอกจากนี้ การที่(พุทธ)ศาสนาถูกจำกัดอาณาบริเวณโดยรัฐ ยังเป็นเหตุให้เกิดความไม่เสมอภาคในแง่ของการปฏิบัติต่อศาสนิกในศาสนาเดียวกัน รวมถึงศาสนิกของศาสนาอื่น เกิดการจัดสรรแบ่งปันผลประโยชน์มากบ้างน้อยบ้าง โดยการสนับสนุนทั้งทางตรงและทางอ้อมโดยรัฐอย่างอยุติธรรม

ยิ่งในสังคมอุปถัมภ์อย่างสังคมไทยด้วยแล้ว ศาสนาที่อยู่ในสังคมอุปถัมภ์มีอิทธิพลอย่างยิ่งต่อกระแสชาตินิยมและจริยธรรมชนิดผูกขาด ซึ่งอยู่เหนือหลักจริยธรรมสากล เช่น หลักสิทธิมนุษยชน  เป็นต้น ออกไป

ดังนั้น กรณีของอเมริกา รัฐอเมริกันจึงไม่เข้าไปเกี่ยวข้องในเชิงการอุปถัมภ์หรือเกื้อกูลส่งเสริมศาสนาใดโดยตรง เพียงแต่มีการอำนวยความสะดวกให้ศาสนิกและที่ไม่ใช่ศาสนิกใดๆ ในแง่ของสิทธิเสรีภาพของการนับถือ หรือไม่นับถือศาสนาเท่านั้น  เพราะตระหนักถึงการเข้าไปยุ่งเกี่ยวว่ามีอันตรายเพียงใด

แนวทางในการเข้าไปจัดการหรือเกี่ยวข้องกับศาสนาของรัฐอเมริกัน จึงมีลักษณะดังนี้

  1. ให้สิทธิและเสรีภาพในการนับถือศาสนา หรือไม่นับถือศาสนา
  2. สิทธิเสรีภาพในการนับถือศาสนาของศาสนิก ต้องไปละเมิดสิทธิเสรีภาพในการนับถือศาสนาและการตีความคำสอนในศาสนาเดียวกันที่แตกต่างกัน หรือความเชื่อความศรัทธาของศาสนิกชนในศาสนาอื่นที่แตกต่างกัน หรือแม้แต่ความเชื่อของคนที่ไร้ศาสนา
  3. อาศัยหลักพื้นฐานเหตุผล “เชิงหลักการสิทธิมนุษยชน”ของปัจเจกบุคคล
  4. องค์กรศาสนาได้รับการยอมรับ (คุ้มครอง) ในบริบทกฎหมายอย่างเท่าเทียมกับองค์กรทั่วไป กล่าวถือถือเป็นองค์กรนิติบุคคล อาจเป็นองค์กรมุ่งผลกำไร (profit organization) หรือองค์กรไม่หวังผลกำไร(nonprofit organization) ก็ได้
  5. เมื่อองค์กรศาสนาถูกยอมรับในบริบทกฎหมาย ก็จะต้องปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเสมอภาคและเท่าเทียมกันกับองค์กรอื่นๆ หรือพลเมืองอเมริกันโดยทั่วไป
  6. เมื่อรัฐอเมริกันให้สิทธิเสรีภาพในการนับถือศาสนาและแยกศาสนาออกจากรัฐ มีการวิเคราะห์กันว่า มีผลเชิงบวกต่อความมั่นคงของรัฐโดยปริยาย ในทางที่จะช่วยเสริมสร้างความมั่นคงให้เกิดขึ้นกับรัฐ เพราะอย่างน้อยความขัดแย้งในส่วนของความเชื่อทางด้านศาสนาจะลดลง โดยเรื่องเดียวกันนี้  วิลเลียม ไอโบเดน     (Dr. William Inboden) แห่งมหาวิทยาลัยเท็กซัส (เมืองออสติน) ซึ่งศึกษาเรื่องผลกระทบต่อความมั่นคงระหว่างรัฐศาสนากับรัฐโลกีย์ (รัฐฆราวาส- Secular State) พบว่ารัฐศาสนา (Religious Persecution) มีแนวโน้มก่อให้เกิดความขัดแย้งในประเทศและความขัดแย้งระหว่างประเทศสูง โดยเฉพาะกรณีศึกษาความมั่นคงของรัฐอเมริกัน

น่าสนใจว่า องค์กรศาสนาในอเมริกา ซึ่งอยู่ในฐานะของนิติบุคคลนั้น นอกจากมีเรื่องสิทธิเสรีภาพเข้ามาเกี่ยวข้องแล้ว ยังมีเรื่องของหน้าที่เข้ามาเกี่ยวข้องอีกด้วย โดยเป็นหน้าที่จากหลักความเสมอภาคในการบังคับใช้กฎหมายของรัฐอเมริกัน เช่นเดียวกับองค์กรนิติบุคคลของอเมริกันโดยทั่วไป เช่น หน้าที่ในการเสียภาษี หรือหากเป็นองค์กร (ศาสนา) ไม่หวังผลกำไรก็ต้องรายงานรายรับรายจ่ายให้กับรัฐอย่างไม่มีข้อยกเว้น     

(ดูได้จากตัวอย่างองค์กร “วัดไทย”ในสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นตัวอย่างหนึ่งขององค์กรนิติบุคคล ไม่หวังผลกำไร “วัดไทย”ทุกวัดต้องมีหน้าที่ตามกฎหมายในฐานะองค์กรนิติบุคคลเหมือนองค์กรนิติบุคคลอื่น

ที่สำคัญ คือ การตรวจสอบบุคคลที่ทำงานในองค์กรด้านศาสนาเท่าๆ กับกับการตรวจสอบบุคคลที่ทำงานในองค์กรด้านอื่น  อย่างเช่น บุคคลที่ทำงานในองค์กรศาสนาต้องมีการรายงานการจัดทำงบดุลบัญชีอย่างโปร่งใสและเปิดเผย และรัฐบังคับให้ต้องมีการายงานเป็นระยะๆ เพราะองค์กรศาสนาจำนวนมากอยู่ได้โดยอาศัยเงินบริจาค  แต่หากการบริจาค เป็นไปอย่างโปร่งใส ถูกต้องตามกฎหมาย ก็ไม่ใช่ปัญหาขององค์กรศาสนาในสหรัฐอเมริกา

กรณีผิดพลาดที่เกิดขึ้นกับองค์กรเกี่ยวกับศาสนาในอเมริกาทีผ่านมาส่วนใหญ่ จึงเกิดจากความไม่โปร่งใสขององค์กรเหล่านั้น เช่น กรณีของโยคีบางตน ที่มาเปิดสำนักอยู่อเมริกาจนกระทั่งรัฐบาลอเมริกันตรวจพบความไม่ชอบมาพากลด้านการเงิน(ธุรกิจ)และปัญหาเกี่ยวกับสถานะต่างด้าวของบุคคลเหล่านั้น

สำหรับกรณีของประเทศไทย  ถ้าถือตามมาตรฐานสากลดังที่กล่าวมา อาจถือว่าเป็นรัฐศาสนาเอาเสียด้วยซ้ำ เพราะมีพ.ร.บ.สงฆ์และหน่วยงานรัฐอย่างเช่น สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติมาดูแลและกำกับคณะสงฆ์ คอยสอดส่องความเป็นไปเกี่ยวกับองค์กรพระพุทธศาสนา แต่ถึงแม้หน่วยของรัฐเหล่านี้ดูแลกำกับศาสนาตามหน้าที่อยู่แล้ว ก็ยังมีพฤติกรรมที่กล่าวได้ว่า แย้งกับ “ความเรียบร้อยทางศาสนา” อยู่จำนวนมาก พฤติกรรมของพระสงฆ์หลายรูปเป็นที่ขัดตาขัดใจชาวพุทธ  ตามที่ปรากฏข่าวผ่านสื่อมวลชนแขนงต่างๆ นอกเหนือไปจากปัญหาของการเลือกปฏิบัติของหน่วยงานรัฐเหล่านี้อีกประการหนึ่ง

ด้วยความที่ไทยเป็นรัฐลักปิดลักเปิด วับๆแวมๆ แบบกึ่งๆ  ดังกรณีใช้กฎหมายเข้าแทรกแซงเรื่องความเชื่อความศรัทธา จนบางครั้งล้นออกมา จนเกิดเป็นสิทธิพิเศษสำหรับคนบางกลุ่มบางองค์กรแม้กระทั่งองค์กรศาสนาที่ส่วนใหญ่อยู่ได้ด้วยศรัทธาจากเงินบริจาค แต่องค์กรเหล่านั้นกลับตรวจสอบได้บ้าง ตรวจสอบไม่ได้บ้าง ทำให้งานศาสนาบางส่วนอยู่ในมุมมืด ไม่โปร่งใส ก่อให้เกิดความสงสัยกับศาสนิกในศาสนาเดียวกันและคนทั่วไป

งานกำกับดูแลด้านศาสนา หรืออีกนัยหนึ่งการกำกับความเชื่อโดยรัฐจึงไม่ใช่ของง่าย

รัฐอเมริกันจึงเลือกใช้หลัก “การกำกับความเชื่อความศรัทธาที่ดี คือ การไม่กำกับ(ความเชื่อความศรัทธา)”สุดแท้แต่ใครจะใช้วิจารณญาณส่วนตนอย่างไร คือให้เสรีภาพในการนับถือศาสนาหรือไม่นับถือศาสนานั่นเอง เพราะมีประสบประสบการณ์มาแล้วว่าเรื่องศาสนา แม้เป็นเงื่อนปมเล็กๆ แต่สามารถทำให้ประเทศชาติทลายลงได้อย่างง่ายดาย.  

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *