พีร์ พงศ์พิพัฒนพันธุ์

ผมเจอแนนซี่ เปลอสซี่ ที่ แคปปิตอล ฮิลล์ วอชิงตันดี.ซี. เมื่อหลายปีมาแล้ว ผมและเธอ เรามาจากแถวซานฟรานซิสโก แคลิฟอร์เนีย เหมือนกัน ผมมาจากเซ้าท์ซานฟรานฯ คือ เมืองซานโฮเซ่ (ซิลิคอนวัลเลย์)

ในวัย 69 เปลอสซี่ (Nancy Pelosi) ยังดูเข้มแข็งสำหรับการปฏิบัติงานในฐานะประธานสภาล่าง (Speaker of the House) ในตอนนั้น ซึ่งเธอก็คือประธานฝ่ายส.ส.อเมริกัน House of representatives นั่นเอง ขณะที่อีกส่วนหนึ่งของสมาชิกรัฐสภาอเมริกัน คือ สภาสูง หรือ Senate (วุฒิสมาชิก/สว.)

ส.ส.พรรคเดโมแครต เปลอสซี่ จากเขต 12 แคลิฟอร์เนีย ตอนนั้นกำลังแสดงบทบาทอันน่าสนใจจากทั้งสื่อ และประชาชนอเมริกันทั่วไป เกี่ยวกับข้อมูลที่เธอได้รับจากหน่วยข่าวกรอง หน่วยสืบราชการลับซีไอเอ เมื่อปี 2002 ขณะนั้นเธอนั่งอยู่ในกรรมาธิการด้านข่าวกรอง หรืองานราชการลับ (House Intelligence Committee) ประมาณนี้

เปลอสซี่กล่าวหาหน่วยงานสืบราชการลับซีไอเอว่า ให้ข้อมูลเกี่ยวกับการทรมานนักโทษที่เกี่ยวข้องกับการก่อการร้ายซึ่งเป็นภัยกับอเมริกา ไม่ตรงกับความเป็นจริง ซึ่งหมายถึง การโกหกสมาชิกคองเกรสในช่วงที่เธอเป็น

การทรมานดังกล่าว ได้แก่ Waterboarding หรือวิธีทรมานโดยการใช้น้ำหยอดจมูก เพื่อให้บอกความจริงข้อมูลต่างๆ หรือสารภาพผิด

สมาชิกสภาคองเกรสหลายคน ได้ออกมาสนับสนุน ข้อกล่าวหาของเปลอสซี่ โดยระบุว่า เจ้าหน้าที่ซีไอเอ กระทำผิดกฎหมาย และกระทำตามอำเภอในเกินไป จะต้องสืบสวนว่าเรื่องราวเป็นอย่างไร

จนรัฐบาล บารัก โอบามา สั่งยกเลิกวิธีการทรมานแบบนี้ไป แต่การทำงานของซีไอเอ กลับได้รับการจับตาจากหลายฝ่าย โดยเฉพาะการนำเสนอข้อมูลในสภาว่า มีการบิดเบือนหรือไม่อย่างไรบ้าง

ตอนนั้น เปลอสซี่ โทรหา ลีออน  แพเน็ตต้า (Leon Panetta) ผู้อำนวยการซีไอเอ คนแคลิฟอร์เนีย บ้านเดียวกับเธอ ทั้งเป็นอดีตคนของพรรคเดโมแครตเองด้วย เพื่อขอดูเอกสารที่ซีไอเอรายงานต่อกรรมาธิการ เมื่อปี 2002 ทั้งหมดอีกครั้ง จนแพเน็ตต้า ออกมาปฏิเสธ และปกป้องหน่วยงานของเขาหลังจากนั้นไม่นาน

ขณะที่ส.ส.ของพรรครีพับลิกันหลายคนออกมาระบุปกป้องการทำงานของซีไอเอว่า หน่วยงานสำคัญของทางการอเมริกันแห่งนี้จะทำงานแบบเถรตรงเสียทีเดียวไม่ได้ เพราะเป็นเรื่องลับ จึงเปิดเผยเรื่องราวทั้งหมดไม่ได้ แม้แต่กับสมาชิกคองเกรส

ส.ส.เดโมแครตหลายคนสวนกลับไปว่า  การทำงานของเจ้าหน้าซีไอเอ ที่ไม่ยืนอยู่บนพื้นฐานของการรายงานข้อเท็จจริง จะถือเป็นการสร้างบรรทัดฐานใหม่ด้านลบขึ้นมา ทำให้การรายงานการทำงานของซีไอเอต่อสภาฯในอนาคต  ข้อมูลที่นำเสนอนั้น ไม่สามารถเชื่อถือได้ อีกอย่างการทำงานของซีไอเอนั้นใช้เงินงบประมาณจากภาษีของชาวอเมริกัน ต้องผ่านการอนุมัติจากคองเกรส

การติดตามเอาเรื่องกับหน่วยงานสำคัญอย่างซีไอเอของเปลอสซี ถูกหลายฝ่ายทางการเมืองของอเมริกันมองอย่างงงๆ โดยเฉพาะฝ่ายรัฐบาลโอบามาในตอนนั้น ดูเหมือนมีท่าทีที่ไม่อยากยุ่งด้วย นายโรเบิร์ต กิบส์ โฆษกประจำทำเนียบขาวตอนนั้น ออกตัวตรงๆว่า ไม่ขอยุ่งด้วย เขาบอกว่า ประธานาธิบดีโอบามา ต้องการมองไปข้างหน้า ไม่มองย้อนหลัง ซึ่งหมายถึงการไม่อยากหยิบยกประเด็นดังกล่าวที่ผ่านมาแล้ว มาตอบโต้กัน

เปลอสซี่ กล่าวหาตอนนั้นด้วยว่า รัฐบาลบุช จูเนียร์ กระทำผิดผิดพลลาด และมีส่วนรู้เห็นต่อการปกปิดข้อมูลของซีไอเอ

ตอนนั้นคนของพรรคเดโมแครตในรัฐบาลโอบามา บอกว่า การที่เปลอสซี่หยิบยกเอาเรื่องซีไอเอมาพูด อาจทำให้เสียบรรยากาศอันชื่นมื่นของรัฐบาลโอบามา ที่กำลังไปได้สวย โอบามาเองต้องการประสานการทำงานร่วมกับพรรครีพับลิกันในบางประเด็น เขาต้องการประนีประนอมเรื่องการผ่านงบประมาณของทั้ง 2 สภา

ถ้าดูจากการบริหารจัดการคณะรัฐบาลที่ผ่านๆ มาของโอบามา  การแต่งตั้งรัฐมนตรี โดยไม่คำนึงถึงว่า มาจากพรรคไหน แต่คำนึงถึงความสามารถ อย่าง นายโรเบิร์ต เกตส์ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม หรืออีกกรณี คือ การแต่งตั้งนายโจน ฮันท์สแมน ผู้ว่าการรัฐยูท่าห์ (รีพับลิกัน) ไปเป็นทูตอเมริกันประจำปักกิ่ง โดยที่เขาผู้นี้มีความสามารถด้านภาษาจีนและรู้เรื่องจีนดีมาก

สรุปแล้ว เดโมแครตสมัยโอบามา มีท่าทีว่า ไม่สมควรยุ่งกับหน่วยงานซีไอเอ ในช่วงการทำงานแรกๆ และต่อๆ มาก็คงรูปแบบ การไม่เข้าไปยุ่งกับหน่วยงานสืบราชการลับของอเมริกันแห่งนี้เหมือนเดิม

ส่วนการทำงานของส.ส.หญิงจากซานฟรานซิสโก เปลอสซี่ภายหลังการนำเสนอข้อมูลโดยเจ้าหน้าที่ระดับสูงของซีไอเอต่อกรรมาธิการด้าน ข่าวกรอง หรือราชการลับในปี  2002 แล้ว เธอได้เกาะติดการทำงานของหน่วยงานซีไอเอมาตลอด

ในเวลาเดียวกันกับบทบาทของเธอในการใส่ใจงานด้านสิทธิมนุษยชน ตอนนั้นเปลอสซีอยู่ในฐานะประธานพรรคเสียงข้างน้อย (Minority leader) โดยนับเป็นผู้หญิงอเมริกันคนแรกที่ได้ทำหน้าที่นี้

หลังจากนั้น เมื่อพรรคเดโมแครตได้เสียงข้างมากในสภา เธอจึงได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งประธานสภาล่าง

ความเห็นอีกด้านการเข้าไปต่อกรกับซีไอเอของเปลอสซีครั้งนั้น ทำให้อเมริกันหลายคนคิดว่าเธอช่างกล้าหาญอย่างยิ่ง เพราะหน่วยงานแห่งนี้ ไม่มีใครอยากตอแยมากนัก ที่สำคัญคือ การดำเนินงานของหน่วยงานแห่งนี้อยู่ภายใต้การบัญชาการทำเนียบขาว ซึ่งในสมัย ประธานาธิบดี จอร์จ ดับเบิลยู บุช ได้มอบให้นายดิ๊ก เชนนี  รองประธานาธิบดีดูแลงานหน่วยงานนี้โดยตรง

ประกอบกับซีไอเอซึ่งมีสำนักงานใหญ่อยู่ที่เมืองอาลิงตัน รัฐเวอร์จิเนีย เองก็อยู่ในอุ้งมือของคนทางฝั่งพรรครีพับลิกันมามาแทบตลอด

เปลอสซี ทำงานการเมืองมานาน เธอได้รับการเลือกตั้ง เป็นตัวแทนจากเขตซานฟรานซิสโก แคลิฟอร์เนีย ตั้งแต่ปี 1987 เป็นส.ส.หญิง ที่มีบทบาทโดดเด่นมาอย่างยาวนาน ไม่แม้แต่ในอเมริกาเอง หากแต่เป็นในเวทีโลกหลายประเทศ

เมื่อ 21 มีนาคมปี 2008 แนนซี่เดินทางไปพบ องค์ดาไล ลามะ ผู้นำทิเบตพลัดถิ่น ณ ธรรมศาลา หิมาจัลประเทศ ตอนเหนือของอินเดีย ซึ่งเป็นที่พำนักของผู้นำศาสนา (และการเมือง) พลัดถิ่นของทิเบต โดยได้มีการประกาศประณามการกระทำของรัฐบาลจีน พร้อมเรียกร้องให้ทางการจีน ปล่อยตัว นาย หู เจีย นักสิทธิมนุษยชนจีนออกจากคุกอีกด้วย

สมัยรัฐบาลโอบามา เปลอสซี   เป็นตัวจักรสำคัญในการผ่านกฎหมายหลายฉบับออกประกาศใช้ ไม่ว่าจะเป็นกฎหมายเกี่ยวข้องกับงบประมาณ  โดยเฉพาะอย่างยิ่งการอนุมัติเงินฟื้นฟูเศรษฐกิจจำนวนหลายแสนล้านเหรียญ  รวมกระทั่งกฎหมายทีเกี่ยวข้องกับปรับปรุงโครงสร้างของระบบและสถาบันการเงินของอเมริกา

นอกเหนือจากการผ่านร่างกฎหมายสำคัญสำหรับอเมริกัน อย่างกฎหมายด้านสุขภาพ เป็นต้น บทบาทและความคิดของเปลอสซี ออกแนวเสรี (Liberal) ทำให้เธอได้รับคะแนนนิยมจากชนกลุ่มน้อยหรือต่างด้าว ในอเมริกา ที่ด้อยโอกาสและมีอยู่ทั่วประเทศ  พวกเขาหวังจะปักหลักทำมาหากินอย่างถูกต้องตามกฎหมาย แม้เป็นที่น่าเสียดายว่า กฎหมายเกี่ยวกับแรงงานผิดกฎหมายนี้ ไม่ผ่านการอนุมัติจากสภาสมัยรัฐบาลบุชก็ตาม โดยที่กฎหมายฉบับนี้ได้รับการวิจารณ์จากสื่อและคนอเมริกันว่า ยังมีจุดโหว่ อยู่พอสมควร

ย้อนไปปี 1999 ช่วงปลายของรัฐบาล บิล คลินตัน เมื่อผมกับเพื่อนอเมริกันที่คุ้นเคยจากแมคคลีน(Mc Lean) รัฐเวอร์จิเนีย เข้าพบเธอ ที่แคปปิตอล ฮิลล์ วอชิงตันดี.ซี. คองเกรสวูแมนเปลอสซี ได้ให้การปฏิสันถารเป็นอย่างดี ทั้งโดยที่รู้ว่า แขกที่มาเยี่ยมที่ออฟฟิศของเธอนั้นเป็นกะเหรี่ยงมาจากซานฟรานซิสโก แคลิฟอร์เนีย สัมภาษณ์เธอในประเด็น “นิรโทษกรรมแรงงานต่างด้าวผิดกฎหมาย(โรบินฮู๊ด)”

10 กว่าปีผ่านไป ผมเห็นเปลอสซี่ ทำงานอย่างมุ่งมั่น ไม่หวั่นไหว และเติบโต ในฐานะหญิงอเมริกันที่เข้มแข็งมากๆคนหนึ่ง….

หมายเหตุ : บทความชิ้นนี้เขียนขณะแนนซี่ เปลอสซี่ มีฐานะเป็นประธานสภาล่าง หลังจากได้รับเลือกตั้งให้ดำรงตำแหน่งนี้ ในปี 2009

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *