ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ economic problem

พีร์ พงศ์พิพัฒนพันธุ์

หลักสูตรสันติศึกษาระดับปริญญาเอก ของมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย (มจร.) กำลังทำให้ชาวบ้านที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ ที่เน้นศรัทธาต่อพระสงฆ์องคเจ้าเป็นหลัก คิดว่าสันติภาพของสังคมเกิดจากการปฏิบัติตามพุทธพจน์แบบเดี่ยวๆ ที่ว่า ไม่มีอะไรสู้ความสงบสันติได้ (นตฺถิ สนฺติ ปรํ สขํ) ซึ่งเป็นความเข้าใจที่ผิด เนื่องจากผู้ประสงค์จะเข้าเรียนหลักสูตรดังกล่าว อาจไม่ได้ดูที่มาหรือองค์ประกอบของสันติภาพว่า เกิดจากอะไรบ้าง เป็นความเข้าใจที่ผู้ประสงค์จะเรียนหลักสูตรที่ว่านี้ ไม่รู้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างความสุขสงบเชิงปัจเจกกับความสุขสงบของสังคมเป็นอย่างไร

เพราะหากพิจารณากันให้ดีๆ แล้ว แม้ความสุขสงบส่วนตัว จะนำไปสู่ความสุขสงบส่วนรวมก็จริง แต่องค์ประกอบของความสุขทั้งสองประเภทก็ต่างกัน ความสุขสงบส่วนตัว เป็นเรื่องปัจเจก ส่วนความสุขสงบส่วนรวมเป็นเรื่องของความสุขของสังคม ในเมื่อเป็นหลักสูตรสาธารณะ ไยจะคิดแค่ผลประโยชน์เฉพาะบุคคคล ย่อมทำให้ผมคิดว่า หลักสูตรสันติศึกษามจร. น่าจะหมายถึงความสุขของสังคมส่วนรวม ในยามที่สังคมไทยเรากำลังมีปัญหาความขัดแย้งไม่ลงตัวทางการเมือง เศรษฐกิจและสังคม หรือแม้กระทั่งด้านอื่นๆ รวมกระทั่งถึงพลวัตรทางสังคม โดยใช้หลักธรรมสมานหรือเยียวยา ซึ่งก็ย่อมไม่มีข้อตำหนิถ้าหากหลักสูตรสันติศึกษาออกแบบมาในแนวพุทธธรรมที่ว่านี้

ประเด็นปัญหาคือ ความโลกสวยของผู้ผลิตหลักสูตรนี้ตะหาก ที่มองสังคมแบบแปลกแยก ไม่สนใจเนื้อความทางด้านเศรษฐกิจหรือปัญหาปากท้องของชาวบ้านเอาเลย ถ้าหากชาวบ้านมีปัญหาปากท้อง มีปัญหาความยากจน สันติสุขจะเกิดขึ้นในสังคมอย่างไร ดังอดีตประธานาธิบดีของสหรัฐฯ เคนเนดี้หรือ JFK เคยกล่าวว่า สันติภาพกับการกินดีอยู่ดีหรือเศรษฐกิจดีคือสิ่งเดียวกัน นอกเหนือไปจากนั้น สันศึกษามจร.เองก็ยังไม่เข้าถึงปัญหาความอยุติธรรมในสังคมไทย (ถ้ามีช่วยเสนอหลักฐานให้ผมดู) เหมือนที่โคทม อารียา ของมหิดลเคยศึกษามาก่อนหน้านี้

ที่ผมนำเสนอเรื่องนี้ก็เนื่องจากไปเห็นข่าวจากสื่อที่พวกกันแชร์มาให้อ่านทางไลน์ “พระปราโมทย์  วาทโกวิโท,ดร. อาจารย์ประจำหลักสูตรสันติศึกษา มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย(มจร) เปิดเผยว่า วิทยาลัยพุทธศาสตร์นานาชาติ(IBSC)ร่วมกับหลักสูตรสันติศึกษา มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ขอนิมนต์พระสงฆ์และขอเรียนเชิญบุคคลทั่วไป สมัครเข้ารับการฝึกอบรมหลักสูตร ทูตสันติภาพ สำหรับพระสงฆ์และบุคคลทั่วไปที่มีแรงบันดาลใจจะทำงานเพื่อเพื่อนมนุษย์ ศาสนา ชุมชน องค์กร สังคม ประเทศ และโลก ในการฝึกอบรมในครั้งนี้เพื่อถวายเป็นพุทธบูชาในวันมาฆบูชาและบริการสังคม” (https://www.banmuang.co.th/news/education/175565)

จากใจความทั้งหมด ท่านคงหมายถึงงานสันติภาพเพื่อสังคมแล้วล่ะครับ ไม่ได้หมายถึง ลมหายใจเพื่อสันติภาพซะแล้ว ปัญหาคือฑูตสันติภาพที่ว่า พวกเขาจะเข้าใจเรื่องสันติภาพมากน้อยขนาดไหนในเมื่อหลักสูตรฯ ไม่สามารถเชื่อมโยง ความสงบสุขภายในซึ่งเป็นปัจเจกเข้ากับบริบทปัญหาทางเศรษฐกิจ ท่านช่วยแก้ปัญหาทางเศรษฐกิจให้กับชาวบ้านอย่างไรได้บ้าง หรือเป็นแค่ผู้รับอย่างเดียว

หรือนั่งภาวนาแล้วจะช่วยให้ท้องอิ่ม มันต้องลงมือทำอย่างใดอย่างหนึ่งจริงไหมครับ? ในความเป็นฆราวาส พุทธะไม่น่าจะสอนให้นั่งหลับตาภาวนาอย่างเดียว หากสอนให้เพียรขยัน ไม่งอมืองอเท้า แต่เท่านี้ มันจะทำให้ชีวิตมั่งคั่งบริบูรณ์ จนนำไปสู่สันติสุขเพียงพอแล้วหรือ?

สันติภาพจะเกิดขึ้นได้จึงต้องมีองค์ประกอบ ไม่ใช่แค่รู้หัวข้อธรรม ไม่ใช่การทำกรรมฐานอย่างเดียว ผลย่อมมีมาแต่เหตุเสมอ ท่านไม่รู้เรื่องเศรษฐกิจ ไม่รู้เรื่องการทำมาหากินใด ฐานชีวิตตั้งอยู่ในสภาวะที่ถูกต้องหรือไม่ สันติภาพจะเกิดขึ้นได้อย่างไร ซึ่งมันก็ย่อมไม่ต่างจากวาทกรรมที่ประดิษฐ์ขึ้นอย่างไร้สาระ จากการมองโลกสวยแบบกำปั้นทุบดิน ดวงอาทิตย์ขึ้นทางตะวันออก ตกทางตะวันตก ไม่มีความหมายใดๆ เลย เพราะไม่สามารถแก้ปัญหาในชีวิตประจำวันใดๆ ได้ ซึ่งก็น่าสมเพชสำหรับผู้ที่พากันหลงเชื่อด้วยศรัทธาจริต

ที่จริงแล้ว หลักสูตรสันติศึกษาของมจร. เคยมีปฏิสัมพันธ์กับสถาบันพระปกเกล้ามาก่อนด้วยซ้ำ สามารถเอ่ยชื่อ บวรศักดิ์ อุวรรณโณ ได้อย่างเต็มปากเต็มคำ ซึ่งก็ต้องไม่ลืมว่า หลักสูตรดังกล่าวนี้ ยึดโยงกับชนชั้นปกครองอย่างไรบ้าง มองมาตรฐานความยุติธรรมในสังคมไทยอย่างไร ใครได้เปรียบ ใครเสียเปรียบ มองเศรษฐกิจ เห็นปัญหาทางด้านเศรษฐกิจของไทยหรือไม่อย่างไร? มองเห็นว่ามันปัญหาการกระจายทรัพยากร กระจายทุนของประเทศอยู่ตรงไหน? การเมือง รัฐบาลที่ดี ควรเป็นอย่างไร?

พูดให้ชัดเจนก็คือ ผู้ผลิตหลักสูตรนี้มองเห็นหัวราษฎรหรือไม่ ทั้งๆ ที่ต่างก็มาจากชาวบ้านรากหญ้าแทบทั้งสิ้น

การเล่นลิ้น ประดิษฐ์คำพูดอันสวยหรู เช่น ลมหายใจสันติภาพ วิศกรสันติภาพ หรือฑูตสันติภาพก็ตาม จะไม่สามารถช่วยแก้ไขปัญหาสังคมไทยได้เลย ถ้าโครงสร้างของหลักสูตรฯ ไม่เชื่อมโยงบริบทปัญหาสังคมอย่างครอบคลุมทั่วถึง

จึงเป็นสันติภาพจอมปลอมโดยแท้…

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *